“ปล่อยทิ้งกะปล่อยวางมันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า คนเราจะทิ้งอะไร ปล่อยอะไรได้ จะต้องมีฐานมาจากการเห็นตามความเป็นจริงตามกระบวนการ
คุณจะปล่อยวางได้คุณก็จะต้องมีความคลายกำหนัด จะมีความคลายกำหนัดได้ก็ต้องมีความหน่าย ไม่ได้เอาธุระอะไรกับเขา จะมามีความคลายกำหนัดได้ ก็ต้องเห็นตามความเป็นจริงว่ามันก็ต้องเป็นอย่างงี้มันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นตามอัตตาได้ จะเห็นตามความเป็นจริงได้ จิตก็ต้องเป็นสมาธิ จิตจะเป็นสมาธิได้ ก็ต้องตั้งสติเอาไว้ ในที่นี้อยู่กับพุทโธ”
สมาธิทำให้เห็นตามความเป็นจริงโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้ง 6 ว่ามีเหตุมีปัจจัยเราจะไม่ได้ไปเอาธุระกับมันยอมรับในสภาพที่มันเป็น จะเกิดความหน่ายคลายกำหนัดปล่อยวาง ให้ระวังโมหะที่จะทำให้กิเลสกลับกำเริบ ทำไปเห็นไปตามมรรค8พุทโธจริงเกิด ตามเหตุดั่งอิติปิ…

Time index
[00:51] ทำจิตให้เป็นของตัวเอง ไม่เป็นของใครตั้งพุทโธไว้ที่ท่ามกลางอก
[15:27] ตัณหาเป็นตัวเชื่อม จะตัดได้ต้องผูกจิตไว้ที่”สติ”มีพุทโธเป็นเสา
[19:13] เสาไม่ล้ม เชือกไม่ขาด สัตว์หมดแรง รักษารอยต่อด้วยสติ
[24:33]จิตเป็นสมาธิ เชือกยังอยู่แต่ไม่ดึง
[29:12] ใช้ปัญญาพิจารณาอายตนะ อะไรที่ผูกไว้ ผูกไว้เพราะอะไร เหตุปัจจัย
[35:13] รู้ความจริง ความรู้เปลี่ยนแปลง เกิดความหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยวาง
[43:46] ปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยทิ้ง ต่างกันที่ความเข้าใจ ระวังโมหะ
[52:59] พุทโธจริงเกิด
อ่าน "ว่าด้วยทิฏฐิ" พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
ฟัง "ตอบคำถาม-การปล่อยวางกับการละทิ้งต่างกัน" ออกอากาศทาง FM92.5 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558